Moved

blog ได้ย้ายไปยัง bloggla.com ครับ

โปรดคลิก

สำรองข้อมูล: คำถามถึงอนาคต เพื่อนและน้องๆรังสิต

คำถามถึงอนาคต เพื่อนและน้องๆรังสิต

โดยชเนษฎ์ ศรีสุโขณ วันที่ 22 กันยายน 2010 เวลา 9:12 น.

จะมีใครรู้อนาคต หลังการเสียชีวิตของคณบดีที่พวกเรารัก- อ.บุญเชียร ไปไม่กี่ปี

 

กับคำถามที่ว่า "ปีนี้ เราจะได้จับฉลากพร้อมกับเพื่อนแพทย์ที่อื่น" หรือเปล่า?

 

มี ความพยายามของคนในกระทรวง และผู้ใหญ่หลายท่าน โดยเหตุุผลที่ว่าเราคือเอกชน และไม่ได้จดสัญญาไว้กับรัฐบาล ดังนั้น ปีนี้อาจเป็นปีที่เราไม่ได้จับฉลากพร้อมกับแพทย์ที่อื่น ต้องรอเขาจับหมดแล้ว เหลือที่ที่คนไม่ไป หรือจังหวัดภาคใต้ (หากมองในแง่ดี ชีวิตไม่แน่นอนดีไปกว่าเก่า เราอาจได้ไปท่องเที่ยวผจญโลกอย่างมีความสุข ฝึกความเป็นยอดคน กับงานทุกประเภท และคนทุกรูปแบบ)

 

จำนวนแพทย์จบรุ่นเรา รวมแพทย์ชนบท ประมาณ 17XX คน แต่โควต้ากระจายได้ 12XX คน ข้อเท็จจริงที่หลายคนอาจยังไม่รู้

 

แต่ ก่อนแพทย์รังสิต ถูกให้จับฉลากรอบหลังชาวบ้าน จนสมัย อ.บุญเชียร ท่านสู้ท่านถีบ จนทำให้เราได้จับฉลากพร้อมกับที่อื่น บางรุ่นมีปัญหาที่รุ่นพี่ต้องล่ารายชื่อรุ่นน้องยื่นร้องเรียน กรณีจะบังคับให้รังสิตเจ้าเดียวที่ต้องเพิ่มพูนประสบการณ์2ปี จึงจะได้ใบเพิ่มพูนประสบการณ์

 

เหตุการณ์กำลังจะกลับไปซ้ำรอยเดิม?

 

จริงๆ ประกาศไม่ให้เราจับพร้อมกับชาวบ้าน มีข่าวและประกาศออกมาตั้งแต่ สมัย รุ่น16 (รุ่นพี่พลอย) แต่รุ่นนั้นก็ยังได้จับฉลากพร้อมกันกับแพทย์ที่อื่น เนื่องจากว่าออกระเบียบการไม่ทัน

 

สำหรับพวกเรา รุ่น17 นั้น ตอนแรกมีข่าวเล่าลือเล่าอ้างมานานมาก พิจารณาแล้ว คิดว่าข่าวลือ จึงไม่ได้สนใจ

แต่ในการเรียกประชุมศูนย์แพทยศาสตรศึกษาของรัฐบาล ได้มีการพูดกันชัดว่า รังสิตจะไม่ได้จับฉลาก (รอบแรก)

ข้อ อ้างเพิ่มเติมของผู้ใหญ่หน้าเก่าตำแหน่งใหญ่ในกระทรวงกำลังเกษียณ (ชื่อ ส.) บอกว่ารังสิตชอบหนี ชอบอู้ ชอบโดด ชอบเพิ่มพูนไม่ครบ1ปี สมควรกำจัดออกไป ลูกน้องขานรับบอก นายสั่งมา

 

จากการต่อสาย คำพูดผู้ที่เกี่ยวข้อง

1รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข อ.นพ.ทนงสรรค์ สุธาธรรม ->ไม่ได้ข่าว แต่จะช่วยดูแลให้

2รองเลขาธิการแพทยสภาท่านหนึ่ง -> เป็นเรื่องของสถาบันพระบรมราชชนก

3สถาบันพระบรมราชชนก -> เอกสารทางการยังไม่ออก บอกไม่ได้ เอ๊ะ คุณอยู่รังสิตหรือ

 

คณะเรา ว่าไง

อาจารย์ บางท่านบอก เราไม่จำเป็นต้องแคร์ เพราะเรามีทางเลือกเยอะ เช่น เรียนต่อนอก (ผมต้องถามว่าไปกี่%), อยู่เอกชน (วุฒิศักดิ์ คลินิก!!! โปรดคิดทำนองเพลงของพี่วุฒิศักดิ์), เปลี่ยนสายอาชีพ ฯลฯ

แต่การเรียนต่อเฉพาะทาง ก็ยังต้องอาศัยใบเพิ่มพูนประสบการณ์เป็นใบเบิกทางอยู่ดี (ยกเว้นสาขาขาดแคลน)

อาจารย์บางท่านยังไม่อัพเดท

อาจารย์บางท่านบอกไม่เป็นไร เดี๋ยวอะไรอะไรก็ดีเอง

ผู้ อำนวยการสถาบันร่วมฯ(ที่เป็นหน่วยงานรัฐบาลอยู่) คนต่อมาจากอ.บุญเชียร เป็นใคร เราก็ยังไม่รู้จักกันเลย จะเป็นพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วยเราในตอนจบแบบ Happy ending?

หรือ แม้กระทั่ง ทางมหาวิทยาลัย จะมาสนใจเราหรือเปล่า (ขนาดเรื่องขอตึกยังไม่ช่วยเลยครับ ต้องให้ชุมนุมกันหลายรอบ)

 

ปัญหาข้อควรพิจารณา ทางเลือกที่มี

1.จับฉลากไปเพิ่มพูนทักษะ มีคนอยากไปกันจริงๆหรือไม่? (แต่ในใบติ๊กรุ่นเราติ๊กกันเยอะมากว่าจะไป)

2.ไป เลือกสมัครตรงแต่ละที่ดีกว่า (แต่ถ้าโควต้า กำหนด โดย ก.พ. ออก ก็จะเบียดเรากระเด็นได้ รุ่น16 มีพี่บางคนบางกลุ่ม ได้รับคำยืนยันว่าจะอยู่ รพ.นั้นนู่นนี้ จากการรับตรง แต่เมื่อ ตำแหน่งของทางรัฐบาลมา ก็จำต้องหลีกทางให้)

3.เป็นแพทย์พี่เลี้ยง ของศูนย์แต่ละแห่ง (ถ้าลาออกก่อน แม้ครบ1ปีแล้ว คงเสียชื่อแย่)

4.แพทย์ใช้ทุน ของคณะแพทย์ต่างๆ (ในแนวโน้มการอนุมัติบัตรส่วนภูมิภาคลดลง)

5.เอกชน และ แนวทางอื่นๆ (ในขณะที่จะเรียนต่อเฉพาะทางยัง require ใบสวรรค์อยู่)

6.ไป ต่อนอก ในตัวอย่างรุ่นพี่ โคตรเทพรุ่น14 จำนวน 2 ท่าน เตรียมไปบอร์ดอเมริกา แต่การสนับสนุนจากคณะน้อยเต็มที่ ขอใบ recommendation ยังต้องมานั่งเขียน รวบรวมข้อมูลทุกอย่างเอง แล้วไปขอให้อาจารย์เซ็น เสียเงินอีก 600บาท

 

*โดยอย่าลืมว่า "ถ้าไม่มีเส้นสาย" หรือคนรู้จัก การเลือกพิจารณารังสิต คิดจากสมการ

ความ สำเร็จในการสมัคร = (คุณภาพของผู้สมัคร – biasเรื่องคณะ – ส่วนลดของเกรดx1.3-1.5 เมื่อเทียบกับคณะอื่น) x สัดส่วนกรรมการที่เห็นดีเห็นงาม

โดยปัจจัย เรื่องใบ recommendation อาจไม่ช่วยเพิ่มเติมอะไรก็ได้ถ้าไม่ต่างจากของคนอื่น

 

เลยเขียนมาขอความอนุเคราะห์อยากเห็นความคิดเห็นเพื่อนๆน้องๆนะครับ เพราะหากมีเสียงมากๆ น่าจะเจรจากับผู้ใหญ่หลายๆฝ่ายได้มากขึ้น

 

ที่เขียนมานี้ ไม่ได้เพราะอยากสร้างปัญหา แต่เพราะปัญหาได้เกิดแล้ว

หากพวกเราเฉยๆ หรือปล่อยไป รุ่นน้อง(และรุ่นเราหลายคน) จะถูกปฏิบัติในสิ่งที่เป็น "สองมาตรฐาน" กันไปอีกนาน

 

ป.ล.จริงๆ คนเขียนเป็นห่วงน้องๆและคนที่ยังไม่รู้อนาคตบางส่วนมากครับ ผมเองให้ร้ายอย่างไรก็มีทางรอด แต่คณะเราจะล่มจมๆลง ถ้าไม่มีใครทำอะไรเลย

ถ้าเห็นว่าเป็นประเด็นต้องคุยกัน tag ต่อด้วยนะครับเพื่อนๆ

 

– – – – – – – – – – – – – — – – – – – — – – – – – — – – – – – –

Progression note

21/9/53

-คำถามที่เกิดขึ้น ยังอยู่ในระดับ "ต่อรองได้" ถ้ามีผู้ใส่ใจในอนาคตและการเพิ่มพูนทักษะที่มากพอ

-ใต้ สถาบันร่วมผลิตแพทย์ฯ จะมีให้กรอกรายละเอียดใบเพิ่มพูน เป็นการทำตามปีก่อนๆ โดยเจ้าหน้าที่ยังไม่ทราบ แต่อยากให้ทุกคนช่วยถามอาจารย์กันมากๆนะครับ (ซึ่งขอบคุณมาก เขียนไปวันเดียว มีบางสายต้องโทรมาชี้แจงผมเลยครับ ขอบคุณท่านที่เมตตาครับ)

-การเอาข่าว insider มาบอกคงไม่ได้ผิดกฎเหมือนตลาดหุ้น แต่จะเปลี่ยนแปลงผลได้เร็วกว่าเหมือนพวกปั่นหุ้นนั่นล่ะครับ

 

ลองดูรูปภาพตัดจากบันทึกการประชุมปี 52 น่ะครับ ที่เป็นต้นเหตุของข่าวตั้งแต่ปีที่แล้ว (แต่ยังขอสงวนนามผู้เข้าร่วมประชุม)

บันทึกประชุมเก่า ที่น่าจะเป็นต้นเหตุของข่าวปีที่แล้ว (แต่ในทางปฏิบัติเราได้จับพร้อมที่อื่น)
เหมือนบางคณะจะหายไปหรือเปล่า เพราะเราไม่ได้ทำสัญญากับรัฐบาลนั่นเอง???

 

– – – – – – – – – – – – – — – – – – – — – – – – – — – – – – – –

Progression note

22/9/53

-บางคนอาจคิดว่า จับฉลากไม่ได้ ต้องไปสมัครตรงแต่ละที่ก่อน

ลองถามผู้ไปสอบสัมภาษณ์ รพ."ช" สังกัด คณะแพทย์ ที่ไปเมื่อวานดู (21/9/53 3 คนจากรังสิต)

โดน "ปฏิเสธทุกราย" …ด้วยเหตุผล ว่าพวกรังสิตชอบรับทุนแล้วลาออกก่อน คุณไม่มีสิทธิ

สามท่านนั้นคงเสียเวลาเตรียมตัว เตรียมการอยู่มาก กลับเดินทางไปไกล เพื่อไปพบกับ "ความจริง"

 

-จะ เขียน progression note บ่อยครั้งเท่าที่ทำได้ จนกว่าจะจับฉลาก อยากให้เพื่อนๆน้องๆพูดเรื่องนี้กันมากขึ้นๆ เข้าใจความรู้สึกกันมากขึ้นๆ ถ้าแยกกันตายเดี่ยว รวมกันอย่างน้อยก็มี"เพื่อนตาย"หมู่ครับ

-เอ่อ ถ้าเขียน progression note ครบแล้ว ผมจะสรุป discharge with improval  หรือ ไป ทำการใบสรุปสาเหตุการตาย ของผู้ป่วยรายนี้ ก็ขึ้นอยู่กับทุกๆคนจะสนใจผู้ป่วยรายนี้หรือไม่ ผู้ป่วย ที่ชื่อว่า "รังสิต"



– – – – – – – – – – – – – — – – – – – — – – – – – — – – – – – –

Progression note

22/9/53 ส่วน2

 

-ข้อมูลจากผู้ใหญ่ที่ไหว้ได้สนิทใจในแพทยสภา

1.รังสิต มีปัญหาในการส่งชื่อคนจบช้าที่สุด

การอ อก ใบเลข ว.ไม่ทันผู้อื่น และเอกสารไม่ครบ (ใครก็ได้หลายๆเสียงช่วยบอกคณาจารย์เราทีครับ เพราะตอนสมัยสมัครสอบรอบ3 เจอวางยาต้องส่งใบ recommendation 2 ครั้งมาแล้วครับ ยังผลให้อาจไม่ได้สอบตามลำดับที่เลือก)

2.ยังมีทางออก ในการติดต่อใช้ทุนในเมืองใหญ่ๆ ..มีตำแหน่งเพิ่มพูนทักษะ เหลือมากๆ รอบๆ กทม. และ จังหวัดใหญ่ๆ

 

คิดถึง อ.บุญเชียร ครับ

ก่อน เสียชีวิตท่านมีแต่ผลักดัน+ทำเรื่องดี ประสานผู้ใหญ่ทุกที่เพื่ออนาคตของนักศึกษา เป็นพินัยกรรมชีวิต แต่ทุกวันนี้ หลายคนที่มีชีวิตอยู่ ยังไม่คิดทำอะไรบ้างเลย…?

 

*ข้อมูลพิจารณาเพิ่มเติม

แพทย์เพิ่มพูนประสบการณ์ทั่วประเทศมีตำแหน่ง 2000 คน จบ 1700 คน จับฉลากกระทรวง 1200 คน

ใน ทางทฤษฎี รังสิตจะเป็นแพทย์ที่ "มีทางเลือกชั้นหนึ่ง" คือไปสมัครตรงที่ไหนก็ได้ ตามจังหวัดใหญ่ๆ รอบกรุงเทพฯ ที่คาดเดาว่ามีที่เหลือ

 

แต่ในทางปฏิบัติ ข้อมูลย้อนหลัง พบว่า การรับตรงของแต่ละโรงพยาบาล ใช้เงินโรงพยาบาลเอง หลายที่ขาดแคลนเงิน และต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง

ลองพิจารณา % ความสำเร็จในการสมัครตรงแบบไร้เส้นของแต่ละคน ดูนะครับ

กลอนวันเกิด 2553

พี่กล้าครับ

วันเกิดนี้…
ให้กล้ามีความคิดฤทธายิ่ง
ดับทุกข์โศกโรคภัยให้ใครจริง
และเป็นสิ่งเตือนตนให้พ้นภัย
พ่อแม่ก็ได้แต่เป็นห่วง
กลัวว่าปวงสิ่งร้ายมา กรายใกล้
อยากให้ลูกสุขกายสบายใจ
ให้ได้อย่างที่หวังทุกครั้งครา
แต่ชีวิตมนุษย์สุดกำหนด
มีรันทดสุขสรรค์และหรรษา
มีลาภเสื่อมลาภเป็นธรรมดา
อยู่ที่ฟ้าลิขิตชีวิตเรา
และทุกอย่างเนื่องนำใจกำหนด
ให้ใจสดชื่นใจไม่หมองเศร้า
ไปอย่างไรเป็นอย่างไรใจรับเอา
ให้ลูกเฝ้าดูแลใจในทุกวัน
 
 
สุขสรรค์วันเกิดพี่กล้า
1 กรกฎาคม 2530
ครบรอบ 23 ปี
ด้วยรักและห่วงใย
พ่อแม่กลางเกน
 

 
คุณแม่คุณพ่อ แลกลางเกนครับ
 
วันเกิดนี้…
รำลึกคุณบุพการียี่สิบสาม
ผ่านทุกข์โศกโรคภัยหลายขวบนาม
เห็นความงามตามความคิดลิขิตตน
ครั้งล่าสุดสุดสลดรันทัดจิต
เมื่อต้องผิดคาดหวังทั้งฝึกฝน
แม้มุ่งมั่นทำดีนี้เพื่อมวลชน
ทำไม"คน"หลายชนชั้นพลันว่าเรา
ว่าบ้าตัวหัวรุนแรงชอบแข็งขืน
ว่าเราฝืนสั่งไม่ได้เพราะไม่เขลา
ว่าเป็นหมอคณะห่วยรวยทำเนา
จึงแพ้เขาอำมาตยาข้าเด่นดี
เกียรติยศทรหดอดทุนใหญ่
ทะลุใจดั่งเลือดไหลในทุกที่
เป็นบทเรียนเตือนคนเพียรให้ได้ที
รำลึกคำพ่อแม่นี้จึงพ้นภัย
ภัยในใจไฟในจิตลิขิตดับ
คนเรากลับลับธุลีมิเสียหลาย
ยศเสื่อมยศลาภเสื่อมลาภอย่างง่ายดาย
บทสุดท้ายคือคุณค่าในใจตน
เรามีผิดพลาดพลั้งต้องยั้งเห็น
อย่าโทษใครใจลำเค็ญเป็นฉงน
มุ่งสร้างธรรมธรรมนำค่าพัฒนาตน
เป็นกุศลเริ่ม"กล้า"ใหม่ให้แผ่นดิน
กล้าล้มเหลวกล้าเลิกเลวกล้าคิดฝัน
กล้ามุ่งมั่นกล้าพิทักษ์กล้ารักษ์ศีล
กล้าทำบุญกล้าเพื่อคุณกล้าโบยบิน
กล้าทั้งสิ้นกล้าเพื่อธรรมกล้านำทาง

ผล การตัดสินผู้ได้รับ ทุนโครงการเยาวชนรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล ประจำปี 2553

ได้ข่าว insider ซึ่งจะประกาศอย่างเป็นทางการในปลายปีนี้
เป็นนิสิตนักศึกษาแพทย์ จุฬาฯ ศิริราช 4 คน และ นักศึกษาแพทย์ทหาร 1 คน
ขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ
 
รายละเอียด http://www.princemahidolaward.org/youth.th.php

เมื่อมหิดลวิทย์ถูกเผา

เมื่อมหิดลวิทย์ถูกเผา

ชเนษฎ์ ศรีสุโข มหิดลวิทย์รุ่น12

                ฉันรักมหิดลวิทย์ เพราะมหิดลวิทย์สอนให้ฉันรักวิทยาศาสตร์ และรักษ์ประเทศไทย

                โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ก่อตั้งมายี่สิบปี โดยเฉพาะในช่วงไม่ถึงสิบปีหลังที่ทีมคณาจารย์และผู้บริหารในวงการศึกษาไทยได้แท็กทีมมาบริหารจัดการ(นำโดย ดร.กฤษณพงศ์ กีรติกร, ดร.ธงชัย ชิวปรีชา, ดร.โกศล เพ็ชร์สุวรรณ์ ฯลฯ)ยกระดับโรงเรียนเป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ องค์กรมหาชนที่รับการสนับสนุนจากรัฐบาลตลอดจนพระมหากรุณาธิคุณ

                รับนักเรียนเข้าศึกษาระดับมัธยมปลาย ปีละ 240 คน เปี่ยมคุณภาพ ไร้เส้นสาย ลูกคนใหญ่คนโตฝากฝังมาก็เข้าไม่ได้ เป็นโรงเรียนประจำนักเรียนทุน 44,000บาท/ปี การสอบคัดเลือกเข้าจากทั่วประเทศ ทุกวันนี้แก่งแย่งแข่งขันกันมาก

                การเรียนของโรงเรียนนี้ไม่เหมือนใคร และไม่แข่งกับโรงเรียนไหน วิสัยทัศน์ผู้บริหารคือ “ทำอย่างไร ให้โรงเรียนในไทยร่วมมือกัน ผลิตนักเรียนคุณภาพที่จะทำให้ชาติเราทัดเทียมอารยประเทศได้” เป็นการมองการณ์ไกลเหนือกว่าความยึดติดในสถาบันที่มีมากในสังคมปัจจุบัน เป็นการสร้างโรงเรียนเฉพาะทางหัวกะทิ ต้นแบบเพื่อการปฏิรูปประเทศ คล้ายโรงเรียนในต่างประเทศ เช่นที่ฝรั่งเศส หรืออังกฤษ ซึ่งเริ่มต้นจากด้านวิทยาศาสตร์ การสร้างองค์ความรู้ และแนวโน้มขยายความร่วมมือต่อยอดโรงเรียนผู้นำทางสังคม เศรษฐศาสตร์ การเมือง ในอนาคต

                ปัจจุบัน มีการเรียนที่ลงลึกด้านวิทยาศาสตร์ และสนับสนุนการคิดค้น วิจัย จดสิทธิบัตร สร้างองค์ความรู้ของไทยเอง สร้างผลิตภัณฑ์ ที่ลดการพึ่งพาต่างชาติ ปกติเราเป็นวัตถุนิยมที่เสียเงินค่าลิขสิทธิ์ ค่าปัญญา ให้ต่างชาติโดยตลอด ทั้งนาฬิกา มือถือ โทรทัศน์ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ คอมพิวเตอร์ ล้วนเสียเงินให้ต่างชาติทั้งสิ้น ทำอย่างไรจะลดเงินไหลออกจากประเทศได้ ทางออกคือสร้างนวัตกรรม สร้างองค์ความรู้ที่สร้างรายได้ให้แก่ประเทศชาติ ถ้าเป็นหมอ ก็เป็นหมอวิจัยคิดค้นวิธีการรักษา หรือยาที่สร้างรายได้ให้คนไทย อีกทั้งภูมิปัญญาชาวบ้านอันมีมากมายไม่แพ้ใครในโลก ไม่เสียเงินให้บริษัทยายักษ์ใหญ่ข้ามชาติมากเกินควร ถ้าเป็นวิศวะ ก็คิดนวัตกรรมใหม่ที่สร้างสรร เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ และสร้างรายได้มหาศาล และ นักวิทยาศาสตร์นักวิชาการสายตรงที่ทุ่มเทอุทิศ ผลิตทั้งองค์ความรู้ และต่อยอดสอนคน สร้างคน เพิ่มคุณภาพประชากรต่อไปในอนาคต ดร.ธงชัย ชิวปรีชา พูดเสมอว่า “Made by Thai technology” คือสร้างชาติด้วยภูมิปัญญาคนไทย มิใช่ สร้างในไทยแต่ Made by Jap. Tech. แล้วส่งเงินให้พี่ยุ่นจนหมด

                แนวคิดและการปลูกฝังของโรงเรียนนี้ เน้นการสร้างจิตสาธารณะ นอกจากวิชาการที่เข้มข้นแต่เรียนแบบไม่เคร่งเครียด มีคลินิกวิชาการและทรัพยากรสนับสนุนให้พัฒนาศักยภาพตนเองได้ตามสายที่ตนเองชอบแล้ว นักเรียนทุกคนต้องทำกิจกรรมเชิงพัฒนาตามกำหนดขั้นต่ำ ได้แก่ ออกค่ายปฏิบัติธรรม, ดูงานและฝึกงานด้าน คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี สังคมศึกษา ศาสนา ศิลปวัฒนธรรมและโบราณคดี คุณธรรม จริยธรรม, ฟังบรรยายด้านต่างๆที่กล่าวมาจากผู้บรรยายระดับนานาชาติ , บำเพ็ญประโยชน์ต่อชุมชนและสังคม, เข้าค่ายวิชาการ, ร่วมกิจกรรมชุมนุม, การออกกำลังกายซึ่งกำหนดให้ออกทุกวันๆละ 45 นาที กล่าวคือสร้างนักเรียนที่เข้มแข็ง เป็นยอดมนุษย์ทั้งกาย ทั้งจิตใจ ไม่แปลกนักเรียนที่จบมาจะเป็นนักกิจกรรมทางสังคม บำเพ็ญประโยชน์ทั้งในมหาวิทยาลัย และชุมชนต่างๆ

                ขออนุญาตเท้าความคร่าวๆ ขั้นต้น เพราะนำเข้าสู่ประเด็นข่าวร้อนที่เกิดขึ้น นักเรียนท่านหนึ่งได้จุดไฟเผาอาคารวิทยบริการ มูลค่าไม่ต่ำกว่าสามร้อยล้าน หนังสือtextbooksอย่างดี คอมพิวเตอร์ server อุปกรณ์ดาราศาสตร์และเทคโนโลยีต่างๆถูกเผาไหม้วอดหมด

                ในฐานะที่ผมเป็นศิษย์เก่าที่กลับไปร่วมกิจกรรมกับทางโรงเรียนหลายครั้ง เห็นชัดต่อเหตุการณ์นี้ว่าเป็นความสูญเสียของชาวมหิดลวิทย์ทั้งหมด ตั้งแต่ระดับผู้บริหาร จนถึงนักเรียน ที่สูญเสียทรัพยากรสำคัญในการค้นคว้าหาความรู้ สูญเสียสถานที่ สูญเสียความรู้สึก

                ความเจ็บปวดของคนในเองก็มากพออยู่แล้ว แต่ความเจ็บปวดที่มากกว่าคือ สื่อมวลชนบางส่วน และคนบางจำพวกที่หาประโยชน์จากข่าวความเสียหายของโรงเรียน ข้อมูลผิดๆที่หาว่าโรงเรียนผลิตเด็กที่คุณภาพทางอารมณ์ต่ำ หาว่าเรียนคร่ำเครียดเกินไป อาจารย์กดดันเด็กมากไป ไร้คุณธรรม จนไปถึงการพยายามโยงเข้าสู่ปมความขัดแย้งทางการเมือง ฯลฯ

                บทความนี้อยากจะส่งข้อความว่า การสูญเสียครั้งนี้ สังคมก็สูญเสีย สูญเสียโอกาสในการสร้างคน สร้างชาติ ถ้าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับโรงเรียนหรือบ้านอันเป็นที่รักของใคร ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน

                อย่างไรก็ตามทั้งวิกฤตโดนเผาและวิกฤตสื่อ ทำให้ผมและศิษย์เก่าจำนวนมากได้ตระหนักชัดเจนขึ้นอีกว่า “นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องมีมหิดลวิทย์” ต้องมีมหิดลวิทย์เพื่อการสร้างความร่วมมือกับโรงเรียนและมหาวิทยาลัยอื่นในอนาคต เพื่อสร้างคน สร้างปัญญา นำสังคมให้ใช้กระบวนการคิดเชิงวิทยาศาสตร์ ในทางสร้างสรรค์ คือก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นควรตั้งสมมติฐาน หาข้อมูล คิดวิเคราะห์แยกแยะ และตอบปัญหาตัวเองให้ได้เสียก่อน ว่าจะซ้ำเติมเหตุการณ์ ซ้ำเติมผู้ก่อการ หรือจะคิดหาวิธีสร้างสรร เยียวยา ป้องกัน ไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในสถานที่อื่นๆอีก

                ชาวมหิดลวิทย์คงเสียใจ แต่ไม่ท้อแท้ คงล้มและลุกขึ้นใหม่ การสร้างชาติต่อไปที่แท้จริง ไม่ใช่การสร้างชาติด้วยปากอย่างที่หลายคนชอบทำกันในสภา นักวิชาการผู้อวดรู้ นายทุนเพื่อพวกตัวเอง หรือสร้างชาติด้วยการวางเพลิง

            แต่เป็นการสร้างชาติด้วยผลงาน สร้างชาติด้วยการกระทำ…   Actions speak louder than words.

 

หมายเหตุ

ตัวอย่างผลงานที่สำเร็จตามเป้าหมายส่วนหนึ่งของโรงเรียน นักเรียนโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ได้รับรางวัลชนะเลิศการแข่งขันต่าง ๆ ระดับชาติและระดับนานาชาติ, ผ่านการคัดเลือกรอบแรก โครงการ สอวน. มากกว่า 100 คน ต่อปี, เป็นตัวแทนโอลิมปิก วิชาการสาขาต่าง ๆ ระดับนานาชาติ

ผลงานที่ไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ ผลสอบทางการศึกษาแห่งชาติขั้นพื้นฐานในหลายปีที่ผ่านมาติดอันดับหนึ่ง, นักเรียนจำนวนมากศึกษาต่อในต่างประเทศโดยทุนเกียรติยศระดับชาติ ระดับนานาชาติ

ตัวอย่างเป้าหมายของโรงเรียนในอนาคต จบปริญญาเอกจำนวนมากกว่า 30%, เป็นโรงเรียนที่จัดกิจกรรมการเรียนการสอนสำหรับนักเรียนที่มีความสามารถ พิเศษทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีระดับมัธยมศึกษาตอนปลายให้มีความสามารถระดับมาตรฐาน โลก (World Class)

Antisocial

Antisocial

ชเนษฎ์ ศรีสุโข

ลงวารสารปฏิวัติความคิด ติดอาวุธปัญญา ฉบับ 18 เดือนพฤษภาคม 2553 www.demo-crazy.com

                บทความนี้ได้แรงบันดาลใจจากผู้ใหญ่ใจดีท่านหนึ่งเมตตาบอกว่าผมเป็นพวก Antisocial ครับ

                คำๆนี้ Anti-social แปลตรงตัวภาษาไทย คงหมายถึง พวกต่อต้านสังคมครับ หลายคนก็เอาคำนี้ไปกล่าวหากลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองในช่วงเร็วๆนี้เช่นกัน ดังนั้น จึงอยากเขียนถึงความหมายของคำนี้ในทางการแพทย์น่ะครับ เพื่อให้เห็นการใช้คำนี้ในความหมายเชิงวิชาการ ที่ค่อนข้างจะรุนแรงพอสมควรนะครับ

                Antisocial เป็นเรื่องของบุคลิกภาพครับ ซึ่งถ้าเป็นบุคลิกภาพเด่นในด้านนี้เราจะใช้คำว่า Antisocial personality trait แต่ถ้าบุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงจนผิดปกติเราเรียก Antisocial personality disorder (อยู่ในกลุ่มบุคลิกภาพแบบ Cluster B) เป็นโรคที่วินิจฉัยในวัยผู้ใหญ่ครับ

                Antisocial หมายถึง ลักษณะคนที่มีการกระทำกระทบหรือละเมิดสิทธิของผู้อื่น ผิดปกติวิสัยของคนทั่วไป ผิดค่านิยม และผิดกฎหมาย มักหักห้ามใจไม่ได้และไม่รู้สึกผิดแต่อย่างใด

                จุดเริ่มต้นของบุคลิกภาพเช่นนี้ เชื่อกันว่าเริ่มมาตั้งแต่วัยเด็ก ในกลุ่มโรค Disruptive behavioral disorders ซึ่งประกอบด้วย Oppositional defiant disorder และ Conduct disorder มักเกิดในประชากรกลุ่มเด็กผู้ชายที่มีประวัติการถูกทารุณในวัยเด็ก

                โดยเชื่อกันว่าคนที่เป็น Antisocial ในวัยผู้ใหญ่ จะเริ่มต้นจากการเป็น Oppositional disorder ในวัยเด็กเล็ก

                เด็กกลุ่มโรคดังกล่าวจะมีลักษณะพฤติกรรมมองว่าคนอื่นเลวร้ายและเป็นศัตรูไปเสียหมด ไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่หรือการสอนสั่งใดใด ชอบเถียงคำไม่ตกฟาก ควบคุมอารมณ์ตนเองไม่ได้ พฤติกรรมรุนแรงในเด็กอาจเริ่มจากการชอบรังแกสัตว์ตัวเล็กๆ บี้แมลง ดึงหางจิ้งจก ฯลฯ ต่างเป็นๆ เป็นระยะเวลา 6 เดือนขึ้นไป

                หลังจากเป็นกลุ่มโรคดังกล่าวมาพอประมาณแล้ว พอเป็นวัยเด็กโตและวัยรุ่น ก็จะเปลี่ยนเป็นกลุ่มโรค conduct disorder ผู้ป่วยจะมีพฤติกรรมที่ละเมิดสิทธิของคนอื่นๆตลอดเวลา หรือกระทำรุนแรงอย่างผิดปกติวิสัยของคนวัยเดียวกัน กระทำซ้ำๆมากกว่า 1ปี พฤติกรรมรุนแรงที่ว่าอาจมีตั้งแต่การข่มขืน การจี้ปล้น การฆ่าสัตว์ต่างๆ หรือพฤติกรรมที่ไม่จัดว่ารุนแรงมาก อาทิเช่น การขโมยของ การโกหก การชอบแกล้งผู้อื่น การสร้างความรำคาญให้คนอื่นๆ

                ถ้าไล่ตามระดับอายุ จะได้ดังแผนภาพที่แสดงง่ายๆ ข้างล่างนี้ 1.เด็ก 2.วัยรุ่น 3.ผู้ใหญ่

                ดังนั้น พอเป็นผู้ใหญ่ จึงเป็น Antisocial personality disorder ซึ่งพฤติกรรมความรุนแรงก็จะมากขึ้น คนเป็นโรคนี้จำนวนมากเกี่ยวพันกับการกระทำผิดกฎหมาย จึงได้รับข้อหาและไปอยู่ในสถานกักกัน ในต่างประเทศก็มีการวิจัยในสถานกักกันต่างๆ พบว่ามีอาชญากรเป็นกลุ่มโรคนี้ค่อนข้างมากครับ

                การรักษาใช้การบำบัดพฤติกรรมในระดับบุคคล ครอบครัว และจิตบำบัดครับ

                จึงขอจบบทความไว้เท่านี้ หวังว่าจะเป็นประโยชน์แก่สาธารณชนและผู้ใหญ่ใจดีไม่มากก็น้อยครับ หากผิดพลาดประการใด รบกวนส่งคำแนะนำ-ติชมได้ที่ ginfreeces@hotmail.com ครับ

               

               

เมื่อลูกกระสุนเข้ามาในโรงพยาบาล

เมื่อลูกกระสุนเข้ามาในโรงพยาบาล

18 พฤษภาคม 2553

ชเนษฎ์ ศรีสุโข

                นั่งเบื่ออย่างยิ่งในบ้านประหยัด(Safe house) หลังจากวิทยาลัยแพทยศาสตร์ประกาศหยุดให้1สัปดาห์ หวั่นเกรงความปลอดภัยในการเดินทางไปปฏิบัติงานที่ รพ.ราชวิถี-รพ.เด็ก

                ซึ่งคิดถูกแล้ว เพราะข่าวล่าสุด(18พค) ห้องผ่าตัดโรคหัวใจ ตึกสอาด ศิริพัฒน์ ถูกกระสุนไม่ทราบฝ่ายยิงเข้ามา[มติชนออนไลน์] เลยไม่รู้ว่ายิงเข้ามาเพราะอะไร หวังจะข่มขู่ชีวิตใครหรือแค่กระสุนลูกหลงเข้ามาเฉยๆ

                ก่อนหน้านี้หลายอาคารภายในโรงพยาบาลแห่งนี้ ยามค่ำคืนก็ถูกเลเซอร์สีเขียวไม่ทราบฝ่ายยิงเข้ามาเล่น ทำให้หลายคนหวาดกลัวว่าต่อไปอาจมีกระสุนตามเข้ามาด้วยก็เป็นได้

                นี่ขนาดเป็นโรงพยาบาล สถานที่ควรถูกละเว้นไว้แม้ยามศึกสงคราม นะครับนี่ แต่ไม่แปลกใจอะไรเพราะประเทศไทย อะไรก็เกิดขึ้นได้ โรงพยาบาลที่โดนมามากกว่านี้แล้วก็มีอีกหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น รพ.จุฬาฯ, รพ.ตำรวจ ฯลฯ

                แต่ไม่ว่ากระสุนจะเข้ามาอีกเท่าไร ผมคิดว่าบุคลากรทางการแพทย์ทุกภาคส่วน ก็คงทำหน้าที่กันอย่างขยันขันแข็งต่อไป ตามข่าวสารทางโทรทัศน์ก็จะเห็นว่ามีผู้บาดเจ็บ-เสียชีวิตจากสถานการณ์บ้านเมืองปัจจุบันนี้ได้เข้ารักษากันอย่างต่อเนื่อง

            ตามหลักจริยศาสตร์ทางการแพทย์ (Medical ethics) หลักดั้งเดิม 4 ข้อแรก

                1. Autonomy      การเคารพใน “สิทธิของผู้ป่วย” ผู้ป่วยเป็นผู้รับรู้ข้อมูลและกำหนดการตัดสินใจในการรับการรักษา ยกเว้นในกรณีฉุกเฉินที่เสี่ยงถึงแก่ชีวิต แพทย์สามารถให้การช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉินได้ (Voluntas aegroti suprema lex) ยังเกี่ยวข้องการเรื่อง “ศักดิ์ศรี” ของผู้ป่วย ทั้งในการมีชีวิตและการจบชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี

                     2. Beneficence  เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย โดยไม่มีเรื่อง Conflict of interest หรือประโยชน์ของแพทย์ผู้ให้การรักษาเข้ามาเกี่ยวข้อง (Salus aegroti suprema lex)

                3. Non-maleficence        ไม่ทำร้ายผู้ป่วย หรือกระทำการใดซ้ำเติมให้อาการเลวร้ายลง ตามประโยคดั้งเดิมว่า "first, do no harm" (primum non nocere)

                4.  Justice             ความยุติธรรม การให้การรักษาผู้ป่วยอย่างเท่าเทียม ไม่แบ่งแยกเพศ สัญชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์ ลัทธิความเชื่อ หรือสีใดใด (fairness and equality)

                ดังนั้นแพทย์อาชีพจะยึดถือในประโยชน์ของผู้ป่วยเป็นสำคัญ หากไม่มีปัจจัยที่รบกวนการทำงานมากจนเกินไป (เช่น ลูกกระสุน หรือระเบิด) ได้แต่หวังและภาวนาให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ทำหน้าที่กันต่อไป ตามรอยพระราชปณิธาน ของพระราชบิดา ที่ว่า

                ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตน เป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์ เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศ จะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมแห่งอาชีพ ไว้ให้บริสุทธิ์

 

ภาพประกอบ โดยนักศึกษาแพทย์ณธีพัฒน์ เอื้อนิธิเลิศ บรรยายไว้ว่า “นี่คือภาพขณะที่มีการช่วยชีวิตผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะกันจาก ที่เห็นในภาพนี้คนไข้มีสองเตียง ด้านซ้ายมือเป็นอาสาสมัครผู้เคราะห์ร้ายจากการเข้าไปช่วยเหลือคนเจ็บ ณ จุดอันตรายแล้วโดนยิง ส่วนด้านขวาของภาพเป็น นปชที่กำลังสร้างแผงกั้นถูกยิงในเวลาใกล้กันสังเกตุได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร คนทุกคนก็พร้อมที่จะช่วยเหลือคนไข้โดยไม่สนใจว่า เป็นใครพวกไหนหากอยู่ในการดูแลแล้วก็จะดูแลรักษาอย่างสุดความสามารถ”

เตือนใจตน เมษารำลึก

เตือนใจตน เมษารำลึก

บทความนี้ได้รับเกียรติตีพิมพ์ลงวารสาร demo-crazy.com ฉบับที่ 17 หน้า 29 เดือน มีค-เมย 53

ชเนษฎ์ ศรีสุโข

                มีคนบอกคนไทยลืมง่าย เราชอบลืมประวัติศาสตร์ เราไม่เรียนรู้จากประวัติศาสตร์…

                ทุกวันนี้ คงไม่นับถึงเหตุการณ์ ตุลา14, 16 หรือ พฤษภา 35 แม้แต่เหตุการณ์ 7 ตุลาคม ที่ผู้ชุมนุมถูกตำรวจสลายการชุมนุมด้วยวิธีผิดสากล จนสูญเสียอวัยวะ บาดเจ็บ สูญสิ้นชีวิตกันไปมาก เหตุการณ์นี้คนจำนวนมากเริ่มไม่รำลึกถึงแล้ว และเชื่อว่าในอีกแต่ละปีที่ผ่านไป ผู้คนจะลืมเลือนกันไปมากขึ้น เหมือนงานตุลารำลึก ที่สุดท้ายเหลือเพียง “ญาติวีรชน” มากระทำพิธีรำลึกกันเท่านั้น

                การตายของวีรบุรุษ วีรสตรีในอดีต เป็นการสูญเปล่า? หรือเป็นแค่เงื่อนไขปลดล็อกเหตุการณ์ทางการเมืองเฉพาะครั้งๆไป? การสูญเสียบุคคลเหล่านั้น เนื่องจากไม่ใช่คนในครอบครัว ลูกหลาน ของใครหลายคน คนจึงลืมไป

                แรงบันดาลใจคนหนุ่มสาวในอดีต “จิตร ภูมิศักดิ์” มีชื่อแต่ในหนังสือจำนวนมากที่คนหนุ่มสาวปัจจุบันไม่ได้อ่านกัน ลองถามวัยหนุ่มสาวสมัยนี้ แม้แต่ “ปัญญาชนสยาม”, “สิงห์สนามหลวง” โดยไม่ต้องนับชื่อจริง คนหนุ่มสาวไม่รู้จักครับ ถ้าพูดถึงเสื้อเหลือง หนุ่มสาวทั่วไปคิดถึงสนธิ จำลอง ถ้าพูดถึงเสื้อแดง คนนึกถึงทักษิณ แล้วแนวร่วมทั้งหลายจะเหลือไหมครับ คนไม่รู้จักเลย ถ้าพูดถึงผู้บริหารมหาวิทยาลัยของผม วัยหนุ่มสาวรู้จัก “วีรบุรุษพฤษภาทมิฬ” กันน้อยกว่าดาราเดอะสตาร์ที่ผ่านมาแล้วผ่านไปในวงการโทรทัศน์

                เป็นความจริง ที่ผู้ใหญ่หลายคนอาจรับไม่ได้ หลงลืมไปเช่นกัน ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราหลายคนจึงหลงว่าตนเองเคยทำดี ทำความยิ่งใหญ่มามากแล้ว เช่นศิลปิน “เพื่อชีวิตตรู” ขาย “บาวบาว” จนลืมนึกไปว่า คนจะดีจริง “ต้องทำดีให้ตลอดชีวิต” มิใช่แอบอ้างประวัติสวยหรูที่ใครก็เขียนอย่างไรก็ได้แต่ไม่เห็นรูปธรรมความสำเร็จในปัจจุบัน (ยกเว้นความสำเร็จบนกระดานหุ้นจากธุรกิจส่วนตน)

                ผู้ใหญ่หลายท่าน เห็นสัจจธรรมของโลกแล้วบอกว่า ทุกสิ่งไม่เที่ยง โลกธรรม8 มีชื่อเสียง มีเสื่อมชื่อเสียงได้เป็นธรรมดา…

                แต่เอาเข้าจริง ผมเองก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้องนัก(ต้องบันทึกไว้ ณ วันนี้ ว่ายังเป็นหนึ่งในคนหนุ่มสาวที่เชื่อแบบนั้น) ไม่ใช่หลักโลกธรรม8ไม่ถูกต้องนะครับ แต่การอ้างหลักธรรมเพื่อที่จะ “ไม่ทำอะไร” นั้นเท่ากับปล่อยให้คนอื่นในสังคมทำให้สังคมดำเนินไปตามสภาวะกรรม ซึ่งต่างจาก “อริยสงฆ์” ที่สร้างผู้กระจ่างแจ้งมากขึ้น ผู้กระจ่างแจ้งทั้งหลายไม่ยึดหลักความเป็นกลางที่หมายถึงการไม่ทำอะไรเลย แต่ยึดการทำกรรมดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์

                 การเปลี่ยนแปลงสังคมในทางที่ดีขึ้น ล้วนเป็นหน้าที่ของสมาชิกในสังคมทุกคน ดังนั้น การที่จะหยุดทำดี หรือเพียงใช้ชีวิตด้วยการหายใจทิ้งไป และเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเพียงวันเดียว อาจเป็นการ “ทำผิดต่อหน้าที่ตนเอง”

                ผมยังบ่นเสมอ ว่า หลายคนที่ชอบด่าว่า วิพากษ์ วิจารณ์ผู้อื่นนั้น หากการวิจารณ์ในสิ่งที่ตนเองไม่ได้มีส่วนกระทำอะไรให้ดีขึ้น อาทิเช่น นักวิชาการที่บอกว่าสังคมเน่าเฟะ การเมืองวุ่นวาย แต่ตนเองไม่เคยเลือกตั้ง, คนที่คิดว่าทุกคนผิดหมด และวิจารณ์ทางอินเตอร์เน็ท แต่ตนเองไม่เคยออกมาชมโลกภายนอกและตระหนักว่าแม้แต่ตนเองก็ยังไม่รู้จักว่าตนเองมีความบกพร่องที่ใด, อีกตัวอย่างหนึ่ง ถ้าพูดถึงเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ผู้ป่วยบางคนป่วยเรื้อรังต้องมาโรงพยาบาลบ่อย แต่ตนเองอาจไม่เคยป้องกันดูแลชีวิต สูบบุหรี่ ดื่มเหล้า พักผ่อนน้อยทุกวัน,  ฯลฯ

                ผมเขียนบทความนี้เพื่อเตือนตนเองครับ…

                เดือนเมษายนปีที่แล้ว มีผู้ถูกยิงเสียชีวิต ทุกวันนี้ผมเองยังลืมว่าเขาชื่ออะไร รถเมล์ถูกเผา สถานที่สำคัญถูกบุกรุก เป็นวิกฤตการณ์ในทางลบ ผมจำรายละเอียดได้น้อยลง สามสี่ปีก่อนหน้านี้ อีกกลุ่มคนชุมนุม ถูกรังแก ยิงถล่มดับ กลั่นแกล้งสารพัด ผมก็เริ่มลืมรายละเอียด แล้วมาดูรายละเอียดกันจริงๆ เหตุการณ์ทั้งหลายล้วนเกี่ยวพันและมีรากฐานเหตุปัจจัยมาหลายสิบปี ผู้ใหญ่ทุกวันนี้ในหลายวงการก็ล้วนเป็นนักกิจกรรมและนักบำเพ็ญประโยชน์ที่เคยผ่านเหตุการณ์ร้ายๆมาในอดีต แต่น่าแปลกใจทำไมทุกวันนี้การสนับสนุนชนรุ่นหลังจึงลดน้อยลง แล้วมีแต่คำวิพากษ์วิจารณ์ด่าทอความล่มสลายทางวัฒนธรรมของวัยหนุ่มสาว

                การวิจารณ์ในสิ่งที่ตนเองไม่ได้มีส่วนกระทำอะไรให้ดีขึ้น ไม่ทำอะไรให้ดีขึ้นได้เลย…

                อย่างไรก็ตาม ถึงจุดนี้ต้องขอบคุณผู้ใหญ่อีกหลายท่านที่เชื่อในการสนับสนุนชนรุ่นหลัง เพื่ออนาคตที่ดีของประเทศ มิใช่ความมั่งคั่งทางผลประโยชน์ส่วนตนเพียงอย่างเดียว การสนับสนุนที่พบว่าดีมาก คือการสร้างองค์ความรู้ให้แก่ประเทศชาติ การสร้างบุคคลที่จะต่อยอดความรู้ให้แก่ประเทศชาติ (อาจารย์,นักวิจัย,NGO, ฯลฯ) เพราะหากมีการต่อยอดบุคคลจากรุ่นสู่รุ่น อุดมการณ์สู่อุดมการณ์ มีการเรียนรู้ร่วมกัน มีการสร้าง “ภูมิคุ้มกันทางปัญญา” ประเทศคงไม่เสียโอกาสในการเรียนรู้จากความสูญเสียในอดีตมาหลายครั้งเช่นนี้

                ผมเขียนแล้ว นั่งทบทวนตนเอง พบว่า “หากเราไม่เรียนรู้จากประวัติศาสตร์ เราก็ไม่มีอาจมีอนาคตอันดีได้”

 

หมายเหตุ          หากใครอยากร่วมรำลึกสิ่งที่ได้จากวิกฤตหลายปีที่ผ่านมานี้ เขียนมาคุยกันได้ครับ ginfreeces@hotmail.com

คืน10เมษา ณ ราชวิถี

คืน10เมษา ณ ราชวิถี

 

                บทความนี้ไม่อยากซ้ำเติมผู้บาดเจ็บ-เสียชีวิต หรือสร้างความเคียดแค้นแก่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดมากขึ้น แต่คงบอกเล่าเรื่องราวที่ได้ยิน-ประสบพบมา โดยพยายามไม่ใส่ความคิดเห็นด้านการเมืองของตัวเองลงไป

                เหตุการณ์เมื่อคืน 10เมษายน2553 ที่อาจทำให้หลายคนนอนไม่หลับ และเป็นกังวลกันมาก…

                ผู้ชุมนุมหลายสิบที่ได้รับบาดเจ็บ เข้ามารับการรักษา บ้างเจ็บเล็กฟกช้ำดำเขียว บ้างหัวแตก บ้างเป็นบาดแผลเปิดจากสะเก็ดระเบิด ในจำนวนที่ว่ามานั้น มีบาดเจ็บหนักเข้าไอซียู และมีผู้เสียชีวิต

                ผู้เสียชีวิตหนึ่งราย พบรูตรงกลางอกขนาดใหญ่ สิ้นใจขณะมาโรงพยาบาล

                อีกรายหนึ่งที่บาดเจ็บหนัก อาจารย์ศัลยแพทย์ต้องมาทำงานกลางดึกเพื่อกู้ชีวิต เพราะโดนวัตถุขนาดเล็กเข้าทะลุอก เข้าหัวใจ ทำให้เลือดออกในถุงหุ้มหัวใจจำนวนมาก ความดันโลหิตตก ใกล้สิ้นชีวิต ผู้ป่วยได้รับการเจาะอก นวดหัวใจ และเข้าห้องผ่าตัดฉุกเฉิน

                แพทย์จำนวนมากถูกตามมาช่วยกันกลางดึก…

                เช้านี้ ในฐานะนักเรียนแพทย์ปีหก ซึ่งไม่ค่อยรู้อิโหน่อิเหน่อะไร ไปยืนทำแผลผู้ป่วยเตียงข้างๆ เห็นอาจารย์มาดูแลผู้ป่วยรายที่ว่ามานั้น ท่านกล่าวว่า

                คุณป้า ทำไมจึงไปร่วมชุมนุมกับเขาล่ะ? เขาจะโค่นในหลวงรู้ไหม โดนเขาหลอกหรือเปล่า?

                แกนนำเขาได้มาช่วยคุณป้าหรือเปล่า เวลาบาดเจ็บเกือบตายนี่ มีแต่พวกหมอนี่แหละต้องช่วยคุณป้า

                ออกไปไม่ต้องบอกว่าโดนทหารยิงน่ะ เพราะที่หมอล้วงเข้าไปเอาออกมาน่ะ สะเก็ดระเบิดที่ปากันเองทั้งนั้น

                หมอและทีมแพทย์ที่ช่วยเหลือคุณป้าทุกคนเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนะ

                ส่วนตัวได้แต่ยืนมองและครุ่นคิด ตระหนักรู้ และเอ่ยว่า…

            อาจารย์พูดดีจริงจริง

บทความ(เก่า) กุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก

กุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก

บทความนี้ตีพิมพ์ลงวารสาร Demo-crazy ปฏิวัติความคิด ติดอาวุธปัญญา ฉบับประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2553

ชเนษฎ์ ศรีสุโข

 

(1)

                เดือนกุมภาพันธ์ เป็นเดือนแห่งความรัก…

                มีสำนวนภาษาอังกฤษบอกว่า ความรักเป็นอาการเจ็บป่วยทางใจแบบหนึ่ง

                เวลาคนรักใคร่กัน โดยเฉพาะความสัมพันธ์วัยหนุ่มสาว โลกทั้งใบกลายเป็นสีชมพู หวานแหวว ความรักทำให้ยิ้มหน้าบานได้ทั้งวัน เคลิ้มสุขมากกว่าปกติ หรือทำให้คนทุกข์ เศร้าเสียใจ ทรมานได้มากทั้งที่ไม่ได้เจ็บป่วยเป็นโรคร้ายทางกายใดใด นี่กระมังเลยเป็นที่มาของสำนวนข้างต้น (ตอนหลังก็มีงานวิจัยในตะวันตกบางชิ้นพยายามบอกว่าความรักอาจเป็นโรคจริงๆ จากการใช้เครื่องคลื่นสนามแม่เหล็กตรวจสมองพบการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างในสมองมากกว่าคนปกติ และมีลักษณะคล้ายคนเป็นโรคประสาทแบบหนึ่ง)

                 ผู้เขียนเองยังอยู่ในช่วงเยาวชนคนรุ่นใหม่ ได้พบเห็นความรักของคนในยุคปัจจุบัน ซึ่งหากเมื่อเทียบกับสมัยคุณพ่อคุณแม่ของพวกเราแล้ว คงมีลักษณะเปลี่ยนไปอย่างมาก ท่านเล่าว่าคนหนุ่มสาวสมัยก่อนนิยมใช้วิธีเขียนจดหมายถึงกัน สมัยนี้เมื่ออารยธรรมโทรศัพท์มือถือเข้ามา คนก็โทรศัพท์ ส่งเอสเอ็มเอส หรือใช้เทคโนโลยีทันสมัย เช่นพูดคุยผ่านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยจำนวนน้อยเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้เขียนจดหมายเกี้ยวพาราสี และเมื่อความเป็นเมืองมากขึ้นกว่าสมัยก่อน หนุ่มสาวสมัยนี้มีที่ท่องเที่ยวตามห้างสรรพสินค้า การชมภาพยนตร์ หรือไปสวนสนุก ไปเดิน-เที่ยวกลางคืน ไปในที่ไกลๆและใกล้ๆ ได้มากขึ้น ด้วยระบบคมนาคมขนส่งที่ทันสมัยขึ้น

                เรื่องกระแสวัตถุนิยม และทุนนิยม ที่หลากไหลเข้ามาในประเทศไทย ก็คงได้เปลี่ยนลักษณะความรักไปมากทีเดียว คู่รักอาจเสียค่าใช้จ่ายในการคบกันมากขึ้น ค่าอาหาร ค่าเที่ยว ค่าช็อปปิ้ง ฯลฯ ทีนี้ แม้ว่าจะมีหลายเรื่องที่เปลี่ยนไป แต่ความรักใคร่ในหนุ่มสาวที่อยู่ในขอบเขตที่ดี  รักกันด้วยความคิด เป็นแรงบันดาลใจให้ขยัน ตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ประกอบสัมมาอาชีพ รู้หน้าที่ของตน สร้างประโยชน์ และมุ่งสู่อนาคตที่ดีร่วมกัน ก็ยังเป็นสิ่งที่ดีของทุกยุคทุกสมัย และเป็นสิ่งที่หลายคู่รักควรแสวงหา

(2)

                ในสมัยอดีตมีหนุ่มสาวปัญญาชนหลายคู่ที่รักกันด้วยอุดมการณ์ทางสังคม การเมือง การอยากเปลี่ยนแปลงประเทศชาติให้ดีขึ้น ปัจจุบันถ้ามีหนุ่มสาวรักกันด้วยอุดมการณ์อยากเป็นคนดี ทำประโยชน์ให้สังคม มากกว่ามองที่เรื่องภายนอก หน้าตา การแต่งหน้า การแต่งกาย อันเหี่ยวหดตามกาลเวลา น่าจะทำให้สังคมเจริญขึ้นไม่น้อย และหากชวนกันสนใจพุทธธรรม หรือเรื่องการทำนุบำรุงจิตใจ อันเป็นสิ่งใกล้ตัวบ้าง น่าจะไม่เกิดปัญหาคลิปหลุดน้องๆผู้หญิงตบตีแย่งเพื่อนผู้ชาย หรือแย่งเพื่อนผู้หญิง ให้ผู้ใหญ่ คนเฒ่าคนแก่สลด กันอย่างทุกวันนี้ (ครูบาอาจารย์ของผม ส.ว.หลายท่าน (ส.ว. = สูงวัย) กุมหัวกันไม่หาย บอกสมัยก่อนไม่มีแบบนี้)

                ความรักที่เหนือกว่าเรื่องภายนอก น่าจะมีอยู่มาก การมองหาคุณค่าภายใน โดยเฉพาะการเริ่มต้นความรักในสถาบันครอบครัวอันเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตน้อยๆชีวิตหนึ่งให้เติบใหญ่ พ่อแม่ที่รักลูก ปลูกฝังสิ่งดีงามให้ลูกโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ปลูกฝังให้ลูกรู้หน้าที่ของการเป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคม เป็นประชากรที่มีคุณภาพ หาใช่การมีลูกเพื่อสืบสร้างทายาทอสูร และกอบโกยผลประโยชน์เข้าตระกูลเพียงอย่างเดียว หรือการมีลูกโดยพ่อแม่ไม่พร้อม อันจะเกิดปัญหาต่างๆตามมาอีกมาก ตัวอย่างหนึ่งที่ชัดเจนในการเมืองไทยตอนนี้ เกี่ยวเนื่องกับเรื่องความวุ่นวาย การขาดซึ่งความรัก โดยเฉพาะจากกลุ่มที่เคลื่อนไหวเพื่อพลิกการตัดสินคดีใหญ่ ผมฟังหลายฝ่ายชี้แจง โดยเฉพาะนักวิชาการอิสระ คุณปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พิจารณาความอย่างเป็นกลาง ประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องความรัก มีอยู่สองประการ

                1.ลูกๆของผู้ถูกตัดสินคดี ลูกๆของท่านอาจไม่ได้มีความรู้ลึกซึ้งเรื่องหุ้นหรือการโยกย้ายถ่ายเทแบบผิดกฎหมายเท่าที่มีผู้ใหญ่บางท่านจัดแจงให้เพื่อประโยชน์ของพวกพ้อง ทั้งนี้การที่พ่อแม่ไม่ได้ตักเตือนหรือห้ามปราม หรือมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องนั้น ก็คงกลายเป็นกรณีพ่อแม่รังแกฉัน ความรักที่เริ่มจากสถาบันครอบครัวที่พ่อแม่รักไม่ถูกทาง หรือรักด้วยโลภะ โทสะ โมหะ เน้นสิ่งภายนอกตัว ลูกจึงเติบโตมาด้วยจิตใจลึกๆที่โหยหาความรักและคุณค่าภายใน เมื่อหาไม่ได้ สะท้อนออกในการติดวัตถุนิยมมากขึ้น ออกงานสังคมมาก เข้าหาดาราอันเป็นวงการวิบัติมายาก็มาก อาการขาดความอบอุ่นเป็นมากก็เข้าหายาเสพติด การมีเงินล้นฟ้า ไม่ได้ทำให้ชีวิตของลูกๆคนรวยหลายท่าน มีความสุขเท่าลูกคนรับจ้างทำงานหาเช้ากินค่ำ ที่ไม่เล่นหวย และสอนให้ลูกพึ่งพาธรรม อนึ่ง พระท่านบอกว่าธรรมคุ้มครองโลก คือ หิริ โอตตัปปะ หากพ่อแม่สอนให้ลูกเกิดการเกรงกลัวที่จะกระทำผิด กลัวการละเมิดกฎหมาย เกรงกลัวที่จะคอรัปชัน โกงคนอื่น เบียดเบียนคนอื่น ตลอดจนรู้จักแบ่งปันและใส่ใจประโยชน์ของส่วนรวม รักประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ รักคนในสังคมมากขึ้น ผมเชื่อว่าท้ายสุด ลูกของพวกเขาจะกลายเป็นคนที่ผู้อื่นรัก และเข้าหาด้วยความจริงใจ อยากช่วยเหลือ มีความสุขและคุณค่าในการดำรงชีวิตที่มากขึ้น

                2.กลุ่มคนที่เคลื่อนไหวในสิ่งที่เชื่อ โดยใช้ความรุนแรง แสวงหาหนทางออกที่ได้มาด้วยสงคราม แลกเลือดเนื้อ ทำลายล้างผู้อื่นด้วยอาวุธ หลายปีมานี้ คนไทยเห็นเลือด เห็นการสูญเสีย การบาดเจ็บพิการ การลอบสังหาร การยิงแก็สน้ำตา การยิงM79 การฆ่าประชาชน การปาระเบิด การเผารถเมล์ บุกเผาบ้านเมือง สถานที่สำคัญถูกบุกรุกและก่อความวุ่นวาย ทำลายประเทศต่อหน้าชาวโลก โดยไม่สนใจว่าใครจะเป็นอย่างไร เหล่านี้ ผู้ที่กระทำได้ขาดความรักในสิ่งมีชีวิตหรือเพื่อนมนุษย์ร่วมโลกอื่นๆไป

                สิ่งที่ประเสริฐที่สุดเกี่ยวกับความรัก คือการรักตนเองและการรักผู้อื่น การรักตนเอง หมายถึง การรักในการกระทำดีของตนเอง เรียนรู้ตนเอง เข้าใจตนเอง การไม่เบียดเบียนผู้อื่น และตอบแทนสังคมในสถานะสมาชิกคนหนึ่งเท่าที่หน้าที่จะเป็นได้ เพื่อเกิดคุณค่าในการดำรงชีวิต การรู้หน้าที่การเป็นประชาชนคนไทย คือการรู้รักษาความดีต่อสถาบันต่างๆทางสังคม ตั้งแต่ระดับ ครอบครัว ชุมชน สังคมขนาดย่อย หมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด การร่วมกันดูแลรักษาสังคม จัดเป็นการแสดงความรักที่เหนือกว่าการรักตนเอง ดังที่กล่าวไว้ ว่าเป็น การรักผู้อื่น เพราะหากเราไม่รักผู้อื่น ไม่รักสังคมส่วนรวมเลย ปล่อยให้คุณภาพสังคมตกต่ำ ปัญหาที่เกิดขึ้นมากมายก็กลับวางเฉย ไม่สนใจ ต่อไปเมื่อประเทศชาติสังคมล่มสลาย เราและครอบครัว คนใกล้ชิดก็ย่อมได้รับผลตอบแทนจากกรรมที่เราทำไว้ สิ่งที่สำคัญอีกอย่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชดำริเรื่อง การผลักดันคนดีให้ขึ้นบริหาร และไม่ให้คนชั่วได้มีอำนาจ รวมทั้งพระราชดำรัสมากมาย น่าจะเป็นอีกทางออกหนึ่งของความรักที่เราแสดงต่อพ่อหลวงได้ด้วยการกระทำ การปฏิบัติตามพระราชดำรัสที่มุ่งหวังให้ประชาชนและส่วนรวมเป็นสุข การรู้หน้าที่ของตน และมีสติรู้ตัว ปัญญารู้คิด น่าจะทำให้ประเทศชาติพ้นภัยได้

                กุมภาพันธ์นี้ หากผู้ใดได้อ่านบทความนี้จึงอยากเชิญชวนให้ 1.รักตนเอง โดยการเข้าใจและเสริมสร้างความแข็งแรงทางจิตวิญญาณ หลังจากนั้น 2.รักผู้อื่นในสังคม รักโดยสติ รักโดยปัญญา คิดถึงอนาคตอันดี การเอาใจใส่บุคคลผู้อื่นในสังคม รักและรักษาผลประโยชน์ส่วนรวม จะให้ทำสังคมน่าอยู่มากขึ้น